เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๔ ธ.ค. ๒๕๔๙

 

เทศน์เช้า วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๔๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

คนเรามันอยู่ที่กรรมนะ กรรมนี่สำคัญมาก แต่เวลาเราพูดทางวิทยาศาสตร์ กรรมจะให้พิสูจน์กัน แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “กรรมเป็นอจินไตย” มันเป็นอจินไตยนะ อจินไตย ๔ พุทธวิสัย กรรม โลก เรื่องฌาน เรื่องความว่างของสมาธินี่มันเป็นอจินไตยเลย เพราะมันคาดการณ์กันไม่ได้

เพราะอะไร? เพราะว่าแม้แต่ขณิกสมาธิมันก็มีหยาบ มีกลาง มีละเอียด อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ มันมีหยาบ มีละเอียด มีความเห็นต่าง ๆ กันมหาศาลเลย มันแตกย่อยออกไปอีก เพราะอะไร? เพราะมันเป็นจริตนิสัย นี้ว่าความว่าง ว่างของใครก็แล้วแต่ ให้เขามีสติสัมปชัญญะนะ พอว่าเรื่องของกรรม มันเหมือนเส้นผมบังภูเขา กรรมนะ เวลาเห็นของเขาไง มันเป็นความเห็นความยึดของจิต มันไม่เข้าใจ แล้วมันจะภาวนาอย่างนั้น

เหมือนเด็ก ๆ เลย เวลาเราคุยกับเด็กๆ เด็กมันไม่เข้าใจอะไรนี่ เวลาถ้าอธิบายนะ ต้องใช้กาลเวลา บางคนเด็กจะเข้าใจได้ง่าย บางคนเด็กจะเข้าใจได้ยาก บางคนไม่ยอมรับรู้อะไรเลย แล้วต่อต้านด้วย ถ้าต่อต้าน นี่มันเป็นเรื่องกรรม แค่เขายอมรับความจริงเท่านั้นนะ ไอ้นี่มันก็จะกระจ่างแจ้ง มันเหมือนเส้นผมบังภูเขา มันเป็นแค่ความเห็นอันนี้ นี่มันก็เป็นกรรม

แล้วอันนี้นะมันให้ผลมหาศาลเลย ให้ผลกับชีวิตคนนะ คนคนหนึ่งอย่างนี้มันบังอยู่แล้ว ชีวิตคนนี่จะแปรปรวนไปเลย เด็กหรือว่าทางวิทยาศาสตร์เขาพยายามทำวิจัยกัน เห็นไหม อย่างเด็ก อย่างลูก ลูกคนกลาง ลูกอะไรนี่ พวกนี้จะมีกันแบบมันจะน้อยเนื้อต่ำใจ เพราะอะไร? เพราะว่ามันความเห็นไง มันเปลี่ยนแปลงไป แล้วกรรมเวลาเกิดมา มันเกิดในช่วงไหน? เกิดในสภาวะแบบใด?

ถ้ากรรมเป็นสภาวะแบบนั้น เวลาเราจะภาวนาของเรา เราต้องพยายามตั้งสติของเรา ตั้งสติของเรานะ เราเดินจงกรมด้วยกัน เดินจงกรมเวลาเท่ากัน เดินจงกรมต่าง ๆ กัน แต่ผลก็ต่างกัน ในคนคนเดียวเวลาเราเดินจงกรม เรานั่งสมาธิภาวนา บางทีก็ลงง่าย บางทีก็ลงยาก บางทีก็มีความเข้าใจ บางทีภาวนาแล้วดี บางทีภาวนาแล้วสู้ขนาดไหนมันก็มีแรงต้าน

มีแรงต้าน แรงต้านมาจากไหน? แรงต้านมาจากกิเลส มาจากตัณหาความทะยานอยากไง ตัณหาในหัวใจของเรานี่มันต้านออกมา แต่เราจะไปข่มเขาโคกินหญ้าไม่ได้ เราต้องมีใช้อุบายวิธีการไง ถ้าข่มเขาโคกินหญ้า ฟังหลวงตาพูด “ขึ้นไปบนภูเขา ร้องไห้มา ไปนั่งร้องไห้อยู่กลางภูเขา” ทั้ง ๆ ที่มีความเข้มแข็งขนาดนั้นนะ ทั้ง ๆ ที่ใจสร้างบุญญาธิการมาขนาดนั้น ทั้ง ๆ ที่มีหลวงปู่มั่นเป็นผู้ที่เป็นแบ็คขนาดนั้นนะ ยังไปร้องไห้กลางภูเขา เพราะอะไร? เพราะข่มเขาโคกินหญ้าไง

เริ่มต้นการภาวนานี่มันข่มเขาโคกินหญ้า เพราะอะไร? เพราะมันเป็นไม้ดิบ ๆ ความเห็นของเรามันดิบ ๆ มันต่อต้านทั้งนั้นน่ะ เราถึงว่าเราต่อต้านเข้าไป เราก็ไม่มีกำลังพอ เราถึงต้องใช้อุบายไง เราเดินจงกรมขนาดไหน ปล่อยไป เหมือนน้ำป่า เวลามันซัดมา เราปล่อยให้น้ำมันผ่านไป เราอย่าไปยืนขวางมัน เราปล่อยให้มันผ่านไป แล้วเราคอยเก็บไง มีเศษไม้ มีเศษวัสดุที่มาจากน้ำนั้น น้ำป่าที่พัดมา มันเป็นอะไรเป็นประโยชน์ไหม

ถ้าเป็นประโยชน์ สิ่งนั้นจะเป็นประโยชน์กับเรา แล้วดูความเสียหาย ความเสียหายที่น้ำมันพัดไปมันเสียหายขนาดไหน ดูอารมณ์เราสิ อารมณ์เราที่มันพัดกระหน่ำมาในหัวใจของเรา ล้มลุกคลุกคลาน มันมีความเสียหายอย่างไร? แล้วเก็บความประโยชน์ของมันคืออะไร? คือนี่ไง เห็นโทษของมันไหม? เห็นโทษของกิเลสไหม? เห็นโทษของความคิดของตัวเองไหม?

เพราะความคิดของตัวเองนี้แหละทำให้เราเป็นคนทุกข์ เพราะความคิดของตัวเองนี่แหละทำให้เราเกิดเราตาย เพราะความคิดของตัวเองนี่แหละทำให้เราไปตามมัน เพราะเมื่อก่อนเราไม่มีสติ เราไม่มีความเข้าใจ บัดนี้เรามีสติสัมปชัญญะของเรานะ เราก็ไม่น้อยเนื้อต่ำใจไง แม้แต่น้ำป่ามันไหลมา มันพัดพรากไป ความเสียหายมหาศาลเลย

นี้การภาวนาของเราก็เหมือนกัน ถ้ามันไม่ได้ผล มันทนความคิดของเราไม่ได้ ความคิดของเรารุนแรง มันต่อต้านการกระทำของเราก็ไม่เป็นไร ก็ไม่เป็นไรนะ เห็นไง เห็นโทษของมัน จับความคิดของเรา จับโทษของเรามาให้เป็นประโยชน์กับเรา อะไรก็แล้วแต่ ถ้าเรามีปัญญาขึ้นมา มันจะเป็นประโยชน์กับเราหมดเลย ประโยชน์กับอะไร ให้เห็นโทษของมันไง คนไม่เห็นโทษจะทำคุณงามความดีทำไม คนไม่เห็นว่าความผิด ใครจะทำความถูกต้อง มันจะมีเป็นสภาวะแบบนั้น

เวลาครูบาอาจารย์ท่านพูด เวลาภาวนาขึ้นไป เวลาปัญญามันเกิดปัญญามันจุดติดจนนอนไม่ได้ ปัญญามันหมุนตลอดเวลา เวลาปัญญามันหมุนตลอดเวลามันก็เหมือนน้ำป่านี่ น้ำป่าที่มันพุ่งมาด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยากที่เราไม่มีกำลังควบคุมมันได้เลย มันจะทำความเสียหายให้เรามหาศาลเลย เราก็เก็บหอมรอมริบขึ้นมาจนกว่าเราจะเห็นโทษของมัน เห็นอะไรเป็นประโยชน์ของมัน เห็นอะไรเป็นประสบการณ์ของมัน ของมันนะ ของมันคือของการกระทำของมัน

แต่ใจเราเก็บผลประโยชน์ของเรา แล้วเราภาวนาของเราขึ้นไป จนถึงจุดหนึ่ง พอไฟมันจุดติด ปัญญามันจุดติด นอนไม่ได้นะ เหมือนกับไฟไหม้เรือน แล้วเราต้องขนของออกจากเรือน ไฟไหม้บ้านนี่เราแบกของ ไฟไหม้บ้านนี่เวลาของหนักขนาดไหน คนแบกได้นะ เพราะพลังงานมันเกิด เกิดจากไม่มีตัวตน พลังงานธรรมชาติ มันแบกได้ มันเป็นไปได้ เวลาเอากลับ เอากลับไม่ไหวหรอก แบก ๔ คน ๕ คน ยังแบกไม่ได้เลย แต่มันแบกไปคนเดียวได้

นี่ก็เหมือนกัน เวลาปัญญามันเกิดมันเป็นอย่างนั้น ปัญญามันเกิดเหมือนกับที่ว่าน้ำป่า ขณะที่เป็นน้ำป่า ขั้นอนาคามีนี่มันจะหมุนมากแรงมาก กระทบรุนแรงในหัวใจมาก อันนั้นเป็นแง่บวกนะ เพราะอะไร? เพราะนี่เป็นปัญญา เป็นปัญญาที่มันเกิดขึ้นจากแรงการประพฤติปฏิบัติของเรา เป็นคุณประโยชน์ของเรา เหมือนเราจะเก็บกั้นเขื่อนไว้ เขื่อนเรากั้นไว้ ปริมาณน้ำในเขื่อนมันมากมายขนาดไหน เวลาเราเปิดมาน่ะ เขื่อนนี่ น้ำประโยชน์นั้นเราใช้ประโยชน์ได้มหาศาลเลย

นี้ปัญญาก็เหมือนกัน เวลามันมหาศาล แรงขับดันของมันมหาศาลเลย แต่เราใช้ยังไม่ถูกต้อง มันมรรคไม่สามัคคีไง มรรคสามัคคีมันสมดุล ปัญญาชอบ งานชอบ เพียรชอบ มันต้องความสมดุลของมัน น้ำป่าอย่างนั้น ปัญญามันรุนแรงขนาดนั้น มันก็ทำให้มันไม่สมดุล เพราะอะไร? เพราะปัญญาออกนำ ปัญญามีน้ำหนักมากกว่า สติ สมาธิ ความเป็นเห็นต่าง ๆ มันไม่สมดุลกัน

ไม่สมดุลคือมรรคสามัคคีไม่ได้ เวลามันพิจารณาไป มันปล่อยวางก็เป็นตทังคปหาน คือปล่อยวางชั่วคราว เพราะมันไม่สมดุล มันไม่สมุจเฉทปหาน นี่ฝึกฝนบ่อยครั้งเข้า ฝึกฝนบ่อยครั้งเข้า แม้แต่มีปัญญามหาศาลยังต้องมีการฝึกมีการฝน เหมือนสอยเข็มเลย สอยเข็ม ถ้าเราสอยเข็ม ด้ายเราสอยเข็ม เข็มรูเล็กรูใหญ่ ด้ายเล็กด้ายใหญ่ เห็นไหม ด้ายใหญ่เท่าซุง เข็มรูนิดเดียว แล้วพยายามจะสอยเข้าไป มันเป็นไปได้ไหม?

นี่ก็เหมือนกัน ปัญญาที่มันจะฆ่ากิเลสโดยตัณหาความทะยานอยาก มันคิดว่านี่เป็นคุณธรรม นี่เป็นคุณธรรม.. มันเหมือนกับด้ายเส้นเท่าซุง แล้วมันก็จะไปสอยเข้ารูเข็ม เราก็ต้องพยายามปั่นด้าย พยายามทำให้มันสมควรกับเข็มนั้น ให้มันเป็นไป นี่มันก็มรรคสามัคคี ความสมดุลของมัน ความสมดุลของใจที่มันปฏิบัติขึ้นมา

นี่ตั้งแต่กรรมนะ กรรมคือการเกิด กรรมคือความเป็นไป กรรมคือจริตนิสัย กรรมคือโอกาสใช่ไหม คราวนี้ภาวนาพุทโธดี คราวหน้าใช้ปัญญาดีอะไรนี่ นี่กรรมคือการกระทำแต่หนนั้นนะ กรรมในปัจจุบันนะ นี่กรรมฐาน ฐานะที่ตั้งของใจ กรรมมันจะมาเหนือฟ้า กรรมมันจะสูงส่ง เก็บในโกดัง ๑๐ โกดังไม่หมดก็แล้วแต่ เวลามันแสดงตัวออกมา มันแสดงตัวที่ใจ ใจของเรานี่มันรับภาระ แล้วมันรับภาระเป็นหนเป็นครั้งเป็นคราว เห็นไหม

ถ้ามันทับซ้อน บุพเพนิวาสานุสติญาณ จิตเกิดตาย ๆ ไม่มีต้นไม่มีปลาย กรรมนี้มันซับซ้อนมหาศาล ถ้าเก็บไว้เป็นวัตถุ โกดังสิบ ๆ โกดังก็เก็บไม่หมด แต่มันเป็นนามธรรม มันเก็บอยู่ในใจ เวลามันแสดงมันแสดงนิดเดียว แสดงเป็นอารมณ์ความรู้สึกหน่อยเดียว แสดงเป็นความเห็นที่เห็นผิดเห็นถูกหน่อยเดียว ถ้าความเห็นถูกเห็นผิดอันนี้ ถ้าเราควบคุมกรรมอันนี้ เราวิปัสสนาของเรา เราใช้ปัญญาของเราใคร่ครวญไป เราเลาะของเราไป ขณะที่เลาะไป กรรมอันนี้มันสมดุลเป็นสัมมาสมาธิ มันเป็นการกระทำกรรมฐานขึ้นมา มันก็เกิดฐานที่ตั้งให้เกิดปัญญา

ในที่มืด ถ้าเราเปิดไฟจะสว่างขึ้นมา ในหัวใจที่มืดบอด ถ้ามีปัญญาขึ้นมาเป็นครั้งเป็นคราวขึ้นมา ใจนี่มันจะเริ่มมีฐานของมันขึ้นมา แล้วมันจะเป็นปัญญาของเราขึ้นไป กรรมจะมากมายขนาดไหน เวลาพระโมคคัลลานะสำเร็จเป็นอัครสาวกเบื้องซ้าย เป็นพระอรหันต์ขึ้นมาแล้ว แต่กรรมเก่า เห็นไหม ให้โจรมาทุบแต่ร่างกายนั้น ทุบแต่ร่างกายนั้นนะ เพราะหัวใจมันเหนือกว่า

ธรรม เห็นไหม เวลากรรมเกิดขึ้นก็เป็นความเห็น เป็นมุมมอง เป็นความคิด เวลาสิ่งที่เราแก้ไขสิ่งนี้ พอหัวใจนี่พ้นออกไปเป็นวิมุตติสุขไปแล้ว แต่เรายังมีร่างกาย สอุปาทิเสสนิพพาน โทษนะ...เหมือนกับเราขับถ่ายเลย เวลาเราขับถ่ายทิ้งไป ของเสียออกจากร่างกายนี่เราขับถ่ายไป เวลาความทุกข์กับการขับถ่าย เราต้องวิ่งไปหาที่ขับถ่ายเลย

นี่ก็เหมือนกัน จิตมันอาศัยอยู่ในร่างกายนี้ ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ นี่มันเป็นธาตุ มันเป็นของสกปรก แต่หัวใจมันอยู่กับร่างกายนี้ หัวใจที่เป็นวิมุตติสุขอยู่ร่างกายนี้ แล้วเวลาถึงที่สุดแล้ว เห็นไหม อนุปาทิเสสนิพพาน คือเวลาตายไป เวลาตายปั๊บจิตมันขับถ่าย สิ่งนี้มันเป็นภาระ พระโมคคัลลานะโดนทุบตรงนี้ไง โดนทุบเฉพาะร่างกายนี้ แต่หัวใจนั้นเข้าไม่ถึงหรอก

เวลาที่เราใช้กรรมมันอยู่ในหัวใจของเรา แล้วเราใคร่ครวญด้วยสติปัญญาของเรา มุมมองมันจะดีขึ้นไปเรื่อย ๆ มันสว่างขึ้นไปเรื่อย ๆ ถึงที่สุดแล้วกรรมนั้นพ้นออกไป เราทำลายกรรมในหัวใจทั้งหมดเลย แต่ถ้ายังมีชีวิตอยู่ ยังมีร่างกายนี้อยู่ เพราะร่างกายนี้เกิดจากกรรมเหมือนกัน เราเกิดจากพ่อจากแม่ เราเกิดมาเรามีร่างกายนี้ มีหัวใจ เพราะหัวใจปฏิสนธิก่อน ร่างกายนี้มันเป็นส่วนประกอบ เป็นที่อาศัย เป็นคูหาของใจ

แล้วเวลากรรมที่มันยังมีอยู่ในโลกนี้ เป็นอจินไตยนี่มันตอบสนองได้ ตอบสนองได้นะ ดูสิ เวลาครูบาอาจารย์เราเจ็บไข้ได้ป่วย มันตอบสนองได้ เวลารักษาได้ อิทธิบาท ๔ ผู้ใดมีอิทธิบาท ๔ จะอยู่อีกกัปหนึ่งก็อยู่ได้ ต่อชีวิตได้นะ ต่อชีวิตได้เพราะอะไร? เพราะจิตตะ วิมังสา อิทธิบาท ๔ นี่ แต่จิตตะ วิมังสาของพวกเรามันทำไม่ได้ เพราะอะไร? เพราะกิเลสของเรามันทำให้ไม่สะอาดไง

แต่เวลาผู้ที่หัวใจมีความบริสุทธิ์ จิตตะ วิมังสา ดูจิต จิตตัวนี้มันจะไปไหน มันจะตายก็ไอ้ตัวนี้ตัวขับเคลื่อน ตัวเกิดตัวตายเห็นหมด ถ้าเราไม่เห็นหมดเป็นพระอรหันต์ไม่ได้ ถ้าไม่เห็นหมด ไม่เข้าใจหมดนะ เพราะมีความลังเลสงสัย เกิดจากไหน? ตายจากไหน? จิตนี้ไปไหน? จะเข้าใจดวงนี้หมดเลยเพราะอะไร? เพราะจิตตัวนี้มันตัวเป็นทั้งหมดเลย

แล้วมันเข้าใจตัวนี้หมด มันจะไปตื่นเต้นอะไรกับการเกิดและการตาย เพียงแต่ว่าเป็นประโยชน์ จะอยู่อีกกัปหนึ่งก็รักษาจิตดวงนี้ไว้ไม่ให้มันออกจากร่าง มันก็ไม่ตาย ถ้าออกจากร่างไป มันก็จบกันไง สักกายทิฏฐิ ความเห็นว่ากายไม่ใช่เรา กามราคะ กามนี้เป็นกาม จิตนี้เป็นจิต แยกออกจากกัน แล้วจิตนี้มันจิตเดิมแท้นี้ผ่องใส แล้วจิตนี้ทำความผ่องใสจนสะอาดทั้งหมด จิตดวงนี้มันพ้นจากการยึดติดแล้วตั้งแต่บัดนั้น นี้การเกิดและการตาย การเคลื่อนไป

สิ่งนี้มันไม่มีความหมายสิ่งใด ๆ เลย ไม่มีความหมายเลยเพราะจิตมันเข้าใจแล้ว พร้อมที่จะสละ พร้อมที่จะเป็นไป แต่! แต่เวลาบอกทำไมถ้าอย่างนั้นจะไม่รีบตายไปให้พ้น ๆ ไปล่ะ? ถ้ารีบตายไป มันเหมือนกับไม่เป็นสัจจะความจริงไง เหมือนกับพระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น เราก็เรียกร้องเอาแสงสว่าง มันเป็นไปได้ไหม? พระอาทิตย์ขึ้น เราก็เรียกร้องเอาความมืด เป็นไปได้ไหม?

นี่ก็เหมือนกัน มันไม่ถึง ขณะที่มันจะถึงวาระของจิตที่มันต้องออกจากร่าง แล้วเราไปเรียกร้องเอา มันเป็นไปได้ไหม? คือมันไม่เป็นธรรมไง มันไม่เป็นสัจจะความจริงไง แล้วจะไปเรียกร้องอย่างนั้นไม่ได้ มันเป็นไปตามความเป็นจริงของเขา นี่อริยสัจ สัจจะความจริงของใจ จิตมันรู้สภาวะแบบนั้น มันก็ต้องไม่เรียกร้องแสงสว่างจากความมืด ไม่เรียกร้องความมืดจากในแสงสว่างนั้น

สิ่งใดเป็นอย่างสภาวะแบบใด ต้องเป็นสภาวะแบบนั้น ถึงคราวของเขา ถึงที่สุดแล้วก็ต้องพรากจากไป ช้าหรือเร็วเท่านั้น เพียงแต่ถ้าเป็นประโยชน์ไง เป็นประโยชน์ ถ้ามันไม่มีแสงสว่าง เราก็จุดไฟได้ ถ้ามันต้องการความมืด เราเอาอะไรปิด มันก็บังได้ เห็นไหม อิทธิบาท ๔ ถึงว่าชีวิตนี้มันยังเป็นไปได้ เพื่อประโยชน์ของโลก เป็นไปได้ทั้งนั้นล่ะ เพื่อประโยชน์ถ้าจะทำ

แต่ถ้าเป็นกิเลสในหัวใจทำอะไรไม่ได้เลย เพราะไม่เข้าใจ เห็นไหม กรรมบังตา ถ้ากรรมบังตาเราก็จะทุกข์อย่างนี้ สิ่งนี้เก็บไว้ในใจ เพราะอะไร? เพราะสถานะมันเป็นสภาวะแบบนี้ ปัจจุบันธรรมคือปัจจุบันนี้ ถ้าปัจจุบันนี้ทำสภาวะแบบนี้ เราชำระล้างกันตรงนี้ อดีตอนาคต สิ่งที่เกาะเกี่ยวทับถมใจมา มันก็แสดงตัวเอาขณะที่เราจะเข้าทางจงกรม

แต่ถ้าสิ่งที่เป็นคุณประโยชน์มา เวลาเข้าทางจงกรม เวลาเราไม่ได้ประพฤติปฏิบัติ เวลาอ่านหนังสือธรรมะ เราก็อยากจะประพฤติปฏิบัติ แล้วเวลาประพฤติปฏิบัติ มันก็ไปคิดถึงอดีตอนาคต ทำไมไม่อยู่กับปัจจุบันล่ะ ปัจจุบันอันนี้อยู่ในทางจงกรม อยู่ในทางนั่งสมาธิภาวนา รักษาใจของเรา นี่ปัจจุบันกรรม ถ้ากรรมฐาน ฐานที่ตั้ง เห็นไหม เอกัคคตารมณ์ จิตตั้งมั่น จิตมีฐาน จิตมีปัญญา จิตนี้จะช่วยเหลือตัวเองได้

อดีตอนาคตเป็นเรื่องของโลก...ส่งออก โลกียปัญญา ต้องคิดโครงการ ทำโครงการเพื่อเป็นธุรกิจต่าง ๆ นี่มันเป้าหมาย อนาคตทั้งนั้นเลย มันเป็นอดีตอนาคต เรื่องของโลก ๆ เขา ถ้าเป็นธรรมต้องเป็นปัจจุบัน ในปัจจุบันของเรา ถ้าปัจจุบันนี้มันแก้ไขได้ จิตนี้พ้นจากกิเลสแล้วจิตนี้เป็นปัจจุบันตลอด จิตนี้ไม่เคลื่อนไปตามโลก กรรมจะตามอย่างนี้ได้อย่างไร กรรมเพราะมันอดีตอนาคต มันถึงความเศร้าหมอง ไม่มีอดีตอนาคตใจมันจะเศร้าหมองได้อย่างไร ใจมันเป็นใจอยู่ดวงนั้นโดยความพอใจ นี่อยู่ที่การประพฤติปฏิบัติของเรา อยู่ที่การกระทำของเรา

ดูสิ เราจะคิดมากขนาดไหน เราจะทุกข์มากขนาดไหน เราไปได้ไหม? เราก็ต้องอยู่ตรงนี้ จิตก็อยู่กับร่างกายนี้ แต่มันคิดไปทั่วโลกสงสารเลย แต่ถ้าเราตั้งของเราได้ เราทำของเราได้ เห็นโทษเห็นคุณของมัน น้ำป่าไหลมาขนาดไหนเก็บประโยชน์จากมัน ประสบการณ์ชีวิตที่มันกระทบกระเทือนหัวใจเรา กระทบกระเทือนร่างกายเราเป็นชีวิตนี้ แล้วก็ดูมัน แล้วเราก็ย้อนกลับมา นี่กรรมมันแปลกมาก

เวลาผู้ใหญ่เข้าใจชีวิตนี่ สงสารเด็กมาก เด็กมันจะเล่นของมันตามประสามัน แล้วพอมันโตขึ้นมา ประสบการณ์ชีวิตมันก็เหมือนเรา พอแก่เฒ่าขึ้นมาก็จะสั่งสอนเขา แล้วก็ตายไป แล้วก็เกิดใหม่เป็นเด็กอีก เป็นผู้ใหญ่อีกอยู่อย่างนี้ไม่มีที่สิ้นสุด มันถึงบังตาอย่างนี้ไง มันบังตาให้เราเกิดตาย ๆ ตลอดไป

ถ้าเราเข้าใจของเรา เราทำของเราแล้วเป็นประโยชน์กับเรา ถึงตั้งสติไว้ ไม่ไปดีใจเสียใจกับอดีตอนาคต ให้เป็นปัจจุบันเรา กรรมอดีตช่างหัวมัน กรรมอนาคตเพราะปัจจุบันนี่สร้างไป อยู่กับปัจจุบันนี้ แก้ปัจจุบันนี้แล้ว ปฏิบัติอยู่ปัจจุบันนี้ ให้ได้ปัจจุบันนี้ ให้ได้โอกาสตอนนี้ เอวัง